คำเตือน: คนที่ไม่ชอบเผชิญกับอะไรยากๆ / ไม่ชอบท้าทาย status quo ของตัวเอง / ไม่อยากออกนอก comfort zone ของตัวเอง อย่าไปดูครับ มันจะทำให้คุณสับสนและอาจตอบโต้กลับด้วยความเกลียดชัง
วงการหนังมีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆครับ ไม่ได้เล่าเพียงแค่เรื่องแฟนตาซีโลกงดงามกันอีกต่อไป เราเริ่มเห็นหนัง/ซีรียส์ที่แสดงถึงความด่างพร้อย (flaw), ความไม่สมบูรณ์แบบ (perfect) ของมนุษย์ กันมากขึ้นเรื่อยๆ นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะจนถึงวันนี้ เราได้เรียนรู้กันแล้วว่า ไม่มีใครดีสมบูรณ์แบบ และไม่มีใครชั่วจากใจ มีแค่คนที่เห็นแก่ตัวและพยายามรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง เท่านั้นเอง
"มันไม่มีคนดี ไม่มีคนเลว มีแต่คนที่มีวาระต่างกัน" | ไมเคิล เวิน
เมื่อมีการนำเสนอย้ำๆกันบ่อยๆ ว่าชีวิตไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เราอยากให้มันเป็น และไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพยายามเลี่ยงมัน เราก็จะชี้หน้ากล่าวโทษกันน้อยลง และหาทางอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบขึ้น
กลับเข้ามาที่หนัง Joker (2019) ของเรา
ต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ใช่นักวิจารณ์หนัง ไม่ได้จบนิเทศมา ไม่เคยอยู่ในวงการทั้งเบื้องหน้าและหลัง ดังนั้น ผมจะขอสะท้อนความเห็นในมุมของแรงบันดาลใจ (Inspiration) และแง่คิดในแบบของ REAL MAN นะครับ
(อาจมีสปอยล์)
1. มนุษย์อยู่ได้ด้วยความรัก
นอกจากสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์กังวล เช่นทรัพยากรที่ร่อยหรอไปอย่างรวดเร็วและปัญหาสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก สิ่งที่ต้องกังวลอีกอย่างหนึ่งคือสุขภาพจิต
มนุษย์ไม่ได้อยู่ได้ด้วยการพึ่งพาเพียงแค่การบริโภค บริโภค บริโภค
เรายังต้องการความรักอีกด้วย
แล้วความรักจะมาจากไหน? ในเมื่อทุกคนถูกสอนทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เห็นแก่ตัวไว้ก่อน เอาตัวรอดก่อน แย่งชิงทรัพยากรและโอกาสเอาไว้ก่อน
มนุษย์คนหนึ่งอาจจะกลายเป็นมนุษย์อีกคนหนึ่งได้ เพียงเพราะเขาได้รับความรักไม่เพียงพอ ดังที่เห็นเป็นตัวอย่างในหนังเรื่องนี้
มนุษย์ทุกคนต้องการการยอมรับ การมีตัวตน และการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ในโลกที่วุ่นวาย พลุกพล่าน รีบเร่งแบบนี้ ใครจะสนใจเมื่อมีคนคนหนึ่งกำลังต้องการความรัก ต้องการเพียงใครซักคนที่จะหยุดฟังเขาจริงๆ คุณอาจจะมองว่านี่เป็นเรื่องไกลตัว ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน แต่อย่าลืมว่าสถานการณ์แบบนี้สามารถเกิดขึ้นกับคุณได้เช่นกัน มันไม่ได้มีข้อยกเว้น ถ้าเราไม่เริ่มสร้างสังคมที่สามารถประคับประคองกันเองขึ้นมาได้ วันหนึ่ง เราอาจจะสร้าง Joker ขึ้นมาในสังคมรอบๆเราโดยไม่รู้ตัว
เรื่องนี้อยู่ในการตัดสินใจของพวกเราเองทุกคน ไม่ต้องโยนให้รัฐบาล รัฐบาลช่วยเราไม่ได้ทุกเรื่อง รัฐบาลออกกฏหมายให้เราดูแลกันและกันไม่ได้ครับ
มันเริ่มได้ง่ายๆจากการมอบความรักความเอื้ออาทรสู่คนรอบๆตัวคุณเอง ทั้งที่รู้จักและคนแปลกหน้า แล้วมันก็จะกระจายออกไปเรื่อยๆเองอย่างไม่ต้องสงสัย
2. ไม่มีใครสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนได้ ถ้าสังคมรอบๆไม่ได้ดีขึ้นด้วย
สมมติว่าเราสามารถรวยได้ดังที่ใจต้องการแล้ว คุณภาพย่อมดีขึ้นตามมาด้วย
ใช่ แต่มันจะดีขึ้นไปถึงแค่จุดๆหนึ่งเท่านั้น และจะไม่ยั่งยืน ตราบใดที่บริบทรอบๆตัวเราไม่ได้ดีขึ้นไปด้วย
คนที่มีฐานะด้อยกว่าย่อมตามมาทวงถาม ถึงความเท่าเทียมและโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร ทำไมคุณถึงรวยกว่า คุณมีโอกาสอะไร คุณกั๊กอะไรเอาไว้กับตัว คุณแอบควบคุมอะไรอยู่ - เหมือนเหตุการณที่เกิดขึ้นในเมือง Gotham นี้
นี่เป็นเรื่อง Demand/Supply ตามปกติครับ ต่อให้คนที่ด้อยกว่าคุณจะฉลาดน้อยซักแค่ไหน วันหนึ่งพวกเขาก็จะมาทวงความเป็นธรรมนี้อยู่ดี
ถ้าสังคมไหนมีคนรวย แสดงว่าสังคมนั้นมีคนจน มันมี layer เกิดขึ้น มันไม่เท่ากัน
ถ้าคุณภาพชีวิตของคนที่จนกว่าที่เขาทำงานให้คุณอยู่ มันไม่ดีขึ้นเสียที ในขณะที่คุณเหลือกินเหลือใช้ Demand มันก็จะวิ่งไปหา Supply เมื่อมันไปแบบสันติไม่ได้ มันก็จะไปในรูปแบบอื่นแทน
Wayne Enterprises จ้างคนเกือบทั้งเมืองมาทำงานให้ตัวเอง ถ้ารายได้จากธุรกิจนี้ ถูกแบ่งให้ลูกจ้างอย่างสมเหตุผล คนเหล่านี้จะมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลงขนาดที่อยากจะฆ่าคนรวยหรือไม่?
ถ้าความมั่งคั่งที่คุณได้รับ มันไม่ถูกกระจายออกไปอย่างเป็นธรรมสู่ทุกคนที่เกี่ยวข้องในธุรกิจของคุณ วันหนึ่งคุณก็ต้องเสียมันไปในอีกรูปแบบหนึ่งอยู่ดี
เมื่อเป็นแบบนั้นแล้วคุณจะพอใจกับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเพียงชั่ววูบจริงๆหรือ?
3. คุณกำลังเลี้ยงแฮปปี้อยู่หรือเปล่า?
มีคนไม่น้อยที่มีลูกเพื่อเติมส่วนที่ตัวเองขาดหายไป ไม่มี มีไม่ได้ หรือใช้ลูกเพื่อแก้สถานการณ์ยุ่งยากของตัวเอง
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่จะมีกี่คนที่กล้ายอมรับ
ส่วนที่บกพร่องนั้น กลายเป็นภาระที่ไปตกอยู่กับลูกน้อย ผู้ซึ่งไม่ได้ทางเลือกอะไรเลย ที่จะต้องทำหน้าที่ส่งมอบ (deliver) สิ่งที่ขาดหายไปนั้นให้กับพ่อแม่
Penny มีปัญหาในการรับรู้โลกความจริง จิตจึงมีแต่ความสับสนและไม่มีความสงบสุข เมื่อหาเด็กมาเลี้ยงได้ก็เรียกเขาว่า แฮปปี้ เพื่อให้มาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป
ด้วยความที่เป็นเด็กรักแม่ Arthur จึงพยายามยิ้มและสร้างเสียงหัวเราะขึ้นมาอยู่เสมอ (ในแบบของเขาเอง) นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการตั้งแต่ต้นหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ ภาระอันหนักอึ้งที่ถูกยัดเยียดให้นั้น ทำให้เขาสับสนใน purpose ของตนเอง มากพอที่จะเปลี่ยนให้กลายเป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นอันตรายกับทุกคน
คุณกำลังเลี้ยงแฮปปี้อยู่หรือเปล่า?
ตอบตัวคุณเองครับ
ถ้าใช่ โชคดีเป็นของคุณที่ไหวตัวทัน ฝึกจิตให้เข้มแข็งแล้วแก้ปัญหาชีวิตของคุณเองด้วยตัวเอง
ต้องบอกว่าได้ยินเสียงสะท้อนจากผู้ที่ไปดูเรื่องนี้มาแล้วอย่างหลากหลายมาก มีทั้งชอบและไม่ชอบ
สำหรับผม ขอแนะนำแบบนี้ครับ
ถ้าดูแล้วรู้สึกว่ามันดาร์ค - แปลว่าคุณรู้สึกได้ว่าสังคมรอบตัวมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ยังไง
ถ้าดูแล้วรู้สึกว่ามีความหวังว่าโลกนี้จะดีขึ้น - แปลว่าคุณเห็นสาเหตุของปัญหาและมีไอเดียด้วยแล้วว่าจะจัดการอย่างไรต่อ - เยี่ยม! แชร์ไอเดียของคุณข้างล่างนี้เลยครับ
ถ้าดูแล้วรู้สึกสะใจ - แปลว่าคุณชอบความรุนแรง หาใครซักคนคุณด้วยเถอะครับ!
มาดูแลโลกรอบๆตัวเรากันครับ
Be a REAL MAN
Comments