top of page
รูปภาพนักเขียนMW

อยากให้มีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นไหม?

ทุกคนอยากให้มีเหตุการณ์มหัศจรรย์เกิดขึ้นกับตัวเอง เหตุการณ์หนึ่งที่จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป และเราไม่ต้องทนอยู่กับสภาพแบบที่เป็นอยู่อีกต่อไป


เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา สายฟ้าได้โบกมือลาคอนโดกลางกรุงของเขาและขับรถพาตัวเองไปสู่บ้านใหม่ มันกว้างขวางกว่า อากาศดีกว่ามาก อยู่ไกลถนน ใกล้ทะเล มีเสียงนกร้องทุกเช้า เสียงจั๊กจั่นร้องทุกเย็น ต้นไม้เขียวชอุ่ม ทั้งไม้พุ่มและไม้ยืนต้น


แม้ใจนึง เขาจะมองว่านี่เหมือนกับสวรรค์ย่อม ๆ แต่อีกใจนึงก็รู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ


ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ที่ทั้งชีวิตที่ผ่านมา สายฟ้ามีแต่ต้องฟังทั้งทางตรงและทางอ้อมว่าจะต้องทำอะไร จะต้องเป็นอะไร: ต้องตั้งใจเรียน ต้องเข้ามหาวิทยาลัยแบรนด์เนมให้ได้ ต้องเข้าทำงานในบริษัทใหญ่ ๆ ให้ได้ ต้องทำงานหนักเพื่อที่จะได้เลื่อนขั้น ต้องมีหน้ามีตา ต้องมีเงินมาก ๆ รวย ๆ ไม่เคยมีใครถามว่าสายฟ้าอยากทำอะไรกับชีวิตของเขาเอง ไม่เคยมีใครถามว่า เพื่อที่จะต้องทำทั้งหมดนี้ ที่สังคมอยากเห็นเขาเป็นคนมีตำแห่นงการงานดี มีเงินเดือนสูง ๆ มีคอนโดเท่ ๆ กลางกรุง เขาต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง? มันขัดใจเขาบ้างหรือเปล่า? มันพรากอิสรภาพของเขาไปหรือเปล่า?


พวกเราถูกสังคมกดดันเสมอ เมื่อตอนเป็นเด็กก็ต่อว่าพ่อแม่ ว่าชอบบังคับให้เรียนนู่น ทำนี่ แต่พอโตขึ้นมาก็ปล่อยตัวเองให้โลกโซเชียลมากดดันทางอ้อม อ๋อ มันต้องมีไลฟ์สไตล์แบบนี้สินะมันถึงจะดี ต้องไปเที่ยวเก๋ ๆ กินอาหารแพง ๆ ต้องนั่งคาเฟ่ ต้องใช้ของแบรนด์เนม ต้องมีตำแหน่งงานใหญ่โต สายฟ้าปล่อยให้ตัวเองถูกกดดันอยู่อย่างนี้เสมอมา จนวันหนึ่ง เขาเริ่มคิดได้ว่า ไอ้ที่ทำงานหนักอยู่นี่ รู้สึกว่าชีวิตของเขาเหมือนเป็นหุ่นเชิดมากกว่าเป็นตัวเขาเอง ที่แย่กว่าเป็นหุ่นเชิด ก็ดูเหมือนจะเป็นที่เขาก็ไม่รู้ว่าใครกำลังเชิดเขาอยู่


ที่แย่กว่าเป็นหุ่นเชิด ก็ดูเหมือนจะเป็นที่เขาก็ไม่รู้ว่าใครกำลังเชิดเขาอยู่

สายฟ้าตั้งให้การมีชีวิตอิสระเป็น New Year Resolution มา 5 ปีติดต่อกันแล้ว ที่ไม่เคยทำได้ซักที เพราะกลัวไม่มีเงินเดือนมาหล่อเลี้ยงค่าใช้จ่ายบ้าง กลัวเพื่อนดูถูกที่ไม่มีตำแหน่งสูง ๆ มาอวดกันบ้าง กลัวต้องมีชีวิตยากลำบากกว่าที่เป็นอยู่บ้าง เขารู้ว่าการหักดิบมันไม่ง่าย เขาจึงค่อย ๆ ขยับไปทีละหน่อย ค่อย ๆ เก็บเงิน ค่อย ๆ ลดรายจ่ายจากไลฟ์สไตล์ฟู่ฟ่า ค่อย ๆ มองหาบ้านและอาชีพที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง


วันหนึ่งไก่ตัวหนึ่งพร้อมด้วยแฟนสาว เข้ามาเดินเผ่นผ่านแถวลานหลังบ้านของเขา แต่มันดูเหมือนกับว่าพวกมันอยู่ที่นี่มาตลอด และมองกลับมาที่สายฟ้าว่าแกมาทำอะไรในบ้านข้า!


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจริง ๆ แล้วพื้นที่ตรงนี้จะเป็นบ้านใคร ทั้งสองฝ่ายดูจะเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว สายฟ้าชอบนั่งมองคู่รักใช้ชีวิตร่วมกัน เดินคุ้ยเขี่ยหาอะไรกินกันไป และเขารอฟังเสียงร้องปลุกจากเจ้าไก่ทุกเช้า


แล้ววันหนึ่งไก่สาวก็หายตัวไป มันน่าตกใจมากสำหรับสายฟ้า เขาเริ่มคิดไปว่า เจ้าไก่จะโดนมือดีที่ไหนจับไปแกงแล้วหรือเปล่า? เขาเดินมองหามันไปทั่วบริเวณ และรอบ ๆ บ้าน แต่ไม่มีวี่แววเลย


และแล้วเช้าวันหนึ่ง หลังจากหลายอาทิตย์ผ่านไป เขารู้สึกว่ามีเสียงอะไรยุกยิก ๆ ผิดปกติที่หลังบ้าน เมื่อออกไปดู หัวใจของเขาถึงกลับพองโตขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าเพราะอะไร เจ้าไก่สาวกลับมาแล้ว และกลับมาพร้อมกับลูกเจี๊ยบอีก 1...2...3...4.......12 ตัว!


มันไม่ได้ไปอยู่ชามแกงของใคร แต่มันท้องและหายตัวไปฟักลูกออกมา!


ทั้งครอบครัวเดินกันขวักไขว่วุ่นวายทั่วลานหลังบ้านของเขา คุ้ยเขี่ยหาหนอนและแมลงกิน ตามประสาของมัน แค่มองพวกนี้ใช้ชีวิตกัน เขาก็รู้สึกสุขสงบในใจแล้ว

 

เรื่องนี้ บอกอะไรกับเรา?


บ่อยครั้งในชีวิต ที่เรามัวแต่ผลักตัวเองให้ไปข้างหน้า ไปให้ถึงขีดจำกัด หลายครั้งถึงกับต้องทำเรื่องผิดศีลธรรม (แค่โกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ผิดนะ อย่าลืม) แต่แล้ว เราก็ไม่เคยถึงจุดที่เราพอใจซักที


ตอนที่ยังเรียนไม่จบกะว่าถ้าได้เงินเดือนซัก 18,000 ก็ดีใจแล้ว ทำงานต่อไปจนได้ถึง 30,000 ก็คิดว่าเพื่อนได้ 50,000 ทำไมเราไม่ได้มั่งวะ!


เรื่องเศร้ามันอยู่ที่ ไอ้การที่เราจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นมันเป็นสัญชาตญาณปกติ คนมีสติดี ๆ ถึงจะรู้ตัวว่า เฮ้ย นี่เรากำลังวิ่งตามคนอื่นอยู่นี่หว่า ถ้ามีกฏบอกว่าทุกคนบนโลกนี้ต้องได้เงินเดือน 30,000 เท่ากันหมดทุกคน ใครที่อยากได้เกินจากนี้ สามารถให้ได้ แต่จะต้องออกจากสังคมไปอยู่คนเดียวในป่าและไม่ได้เจอใครอีกเลย มันจะมีใครอยากได้ 50,000 ไหม?


การทำงานหนักในระบบเงินเดือน มันไม่ใช่แค่ออกแรงหนัก ไม่ใช่แค่นอนดึก ตื่นเช้า แต่มันต้องต่อสู้กับเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเนื้องานมากมาย: คนที่มีความเป็นผู้นำ คนที่เก่งจริง ไม่ได้เป็นหัวหน้า คนที่พูดเก่ง ขายตัวเองเก่งกลับได้เป็น แล้วพอคนที่ไม่รู้เรื่องมาสั่งงานคนรู้เรื่อง ระบบตรรกะคนรับงานมันก็รวนกันไปหมด - ไหนจะยังต้องร่วมงานกับพวก "งานสบาย รายได้ดี" ไอ้พวกที่อยากได้เงินแต่ไม่อยากทำงานอีก คุยกับคนพวกนี้ทีไร มันหาทางโยนงานมาให้ได้เนียน ๆ ทุกที


หลังจากที่เราอดทนให้ผ่านในแต่ละวันเพื่อให้ถึงวันเงินเดือนออก หลังจากเราได้เงินมาแล้ว เราเอาไปทำอะไร? ตอบตรง ๆ กับตัวเอง...ไลฟ์สไตล์ที่ใครก็ไม่รู้กำหนดขึ้นมา ว่าดี ว่าถูกต้อง มันผลาญเงินเราไปหมด เมื่อเงินหมดเราก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำงานกับพวกพยาธิสังคมต่อไป


หลายคนเชื่อว่า สิ่งเดียวที่จะช่วยเราให้ออกจากวงจรอุบาทว์นี้ไปได้ ก็คือ เรื่องมหัศจรรย์ - เรื่องมหัศจรรย์เท่านั้น ที่จะช่วยให้เราเป็นอิสระทางการเงิน สามารถกินข้าวมื้อละเป็นพัน ดื่มกาแฟแก้วละสองร้อย ไถเฟส ถ่ายรูปลงไอจีได้ทั้งวันต่อไปได้ โดยที่ไม่ต้องไปทนคลุกคลีกับพวกกาฝาก ปัญหาก็คือ เรื่องมหัศจรรย์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง และเป็นไปได้ว่าคุณดูหนังดูซีรีย์มากเกินไป


การขอให้เรื่องมหัศจรรย์แบบนี้เกิดขึ้น เหมือนเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะหันไปทางหนึ่ง คุณพบว่าตัวเองติดอยู่กับไลฟ์สไตล์อย่างว่า แต่พอหันไปทางหนึ่ง คุณก็พบว่าตัวเองเหนื่อยกับชีวิตทำงานแบบนี้ คุณจึงอยากได้ "ตัวช่วย" หรือ "เรื่องมหัศจรรย์" มาช่วยยกเอาตัวเราออกไปที


ถึงจุดนี้ หากคุณยังคิดว่าการใช้ไลฟ์สไตล์ตามแบบคนอื่นเป็นเรื่องที่ดีที่คุณอยากจะทำ ขอให้ปิดหน้านี้ แล้วดำรงชีวิตในแบบที่คุณเชื่อต่อไป


หากไม่ คุณคิดว่าคุณเอียนกับการถูกเชิดโดยที่ไม่รู้ว่าใครเชิดอยู่ อ่านต่อไป

 

เรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นทุกวัน


อาจจะฟังดูน้ำเน่า หากใครจะบอกเราว่า "เรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นทุกวัน" ก็ใช่น่ะสิ มันไม่ใช่เร่องแฟนซีที่คุณรอที่จะได้เห็นนี่! แต่มันเกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นทุกวันจริง ๆ การที่คุณอยากจะหนีมาอยู่คนเดียว ตั้งสติ เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่คุณกลับมีเพื่อนใหม่มาอยู่กับคุณเต็มไปหมด นี่คือเรื่องมหัศจรรย์ - คุณกลัวว่าเพื่อนของคุณจะตาย แต่มันกลับไม่ตาย คุณจะรู้ว่านี่คือเรื่องมหัศจรรย์ - นอกจากมันไม่ตาย มันยังออกลูกมาอีก 12 ตัวด้วย นี่มันคือเรื่องมหัศจรรย์!


เด็กเกิด สิ่งมีชีวิตเกิดใหม่ แผลหายได้เอง ยังคงมีออกซิเจนอยู่ในอากาศ (ทั้งที่ตลอดชีวิตพวกเราใช้ออกซิเจนไปมากกว่าที่เราสร้างขึ้นมาเสียอีก) การตกหลุมรักใครซักคน การรู้สึกดีใจที่ได้เจอคนที่เรารัก นี่คือเรื่องมหัศจรรย์


เรื่องมหัศจรรย์มันเกิดขึ้นของมันเอง ไม่ต้องวาง action plan ไม่ต้องคำนวณ ROI ไม่ต้อง pitch ไม่ต้องสอบ ไม่ต้องมีใบอนุญาต


ด้วยความเป็นมนุษย์ เรามีสัญชาตญาณที่ยอดเยี่ยมติดตัวกันมาอยู่แล้ว แต่เนื่องจากเรามักจะจมอยู่กับพลังและความคิดด้านลบ (กลัว กังวล รู้สึกผิด อาย ไม่เคารพตัวเอง ไม่อยากน้อยหน้าใคร ฯลฯ) และถูกรบกวนโดยสิ่งเร้ารอบตัว งานที่ยุ่งเหยิง โซเชียลมีเดีย ข่าว ทำให้เราไม่เหลือเวลาที่จะอยู่กับแก่นแท้ของตัวเราเอง


พวกเราหลายคนทั้งผลัก ทั้งดันตัวเองให้ไปให้ไกล ต้องหาให้ได้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ใช้ให้มากขึ้น แต่แล้ว ก็ยังไปไม่ถึงจุดที่อยากไปให้ถึงซะที


โดยไม่มีเวลาคิดเลยว่า ที่พยายามทำอยู่ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่แก่นแท้ของตัวเราทำได้ดีจริง ๆ แก่นแท้ของตัวเราอยากทำเรื่องพวกนี้จริง ๆ หรือ

 

พวกเราทุกคนคือเรื่องมหัศจรรย์


ถ้าเราหยุดเรื่องฟุ้งซ่านเอาไว้ข้างนอกซักครู่ หยุดกลัว หยุดกังวล และปล่อยให้ตัวเราได้มีเวลาคุยกับแก่นแท้ของตัวเราเอง เราจะพบว่าแท้จริงแล้ว เราฉลาดและเข้มแข็งกว่าที่เรารู้มากนัก และเรารู้อยู่แล้วว่าเราต้องทำอะไรบ้าง


แม่ไก่ปลีกตัวจากบริเวณพลุกพล่าน เก็บตัว ฟักไข่ กกไข่ ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตใหม่ออกมาบนโลกนี้ พาลูกออกมาหากินข้างนอก ทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง เพื่อให้ลูกไก่เป็นไก่ที่แข็งแรงต่อไป โดยไม่ต้องผ่านการ training ไม่ต้องมีใบอนุญาต นั่นเป็นเรื่องมหัศจรรย์


แต่แม่ไก่ทำแบบนี้ได้ ใช้ชีวิตของมันเองได้ เพราะแม่ไก่ไม่ได้สนใจว่า สังคมจะมองยังไง แม่ไก่รู้ว่า ฉันต้องเป็นแม่ ต้องคลอดลูกและเลี้ยงลูกให้ดี และมันก็ทำได้โดยใช้เพียงสัญชาตญาณของมันเอง


มนุษย์เราอยู่ในสังคมที่มีความซับซ้อน และมีบทบาท มีความรับผิดชอบทางสังคมมากกว่า เราจึงมีเรื่องต้องกังวลใจเยอะแยะไปหมด จนทำให้เราไม่อาจมีโอกาสได้พูดคุยกับแก่นแท้ของตัวเรา


แต่ถ้าเราจะให้โอกาสและรักตัวเองมากกว่านี้ซักหน่อย ลองหาจุดสมดุลของมันให้เจอ ถอยออกจากความคาดหวังของสังคมซักก้าวหนึ่ง เพื่อเข้าใกล้แก่นแท้ของตัวเราขึ้นซักก้าวหนึ่ง - ค่อย ๆ ขยับต่อไปทีละก้าว เราจะเจอจุดสมดุลนั้นเอง


เมื่อได้รู้จักกับแก่นแท้ของตัวเรามากขึ้น ดูซิว่า เขาคือใคร เขาอยากทำอะไร และเขาทำอะไรได้ดี ปล่อยให้เขาได้ทำมันบ้าง


ปล่อยให้เขาได้ทำเรื่องมหัศจรรย์ให้คุณได้เห็นบ้าง


เพราะเราทุกคนมีสิ่งมหัศจรรย์ในตัวเราเองอยู่แล้ว


Be a Real Man


#แก่นแท้ของตัวเรา #เคารพตัวเอง #สัญชาตญาณ #ชีวิตอิสระ

Comments


bottom of page